วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประวัติไก่ชนไทย

ตำนานและประวัติไก่ชนกับพระนเรศวร
การตีไก่ เป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางในพม่า โดยเฉพาะในราชสำนักถือกันว่า การตีไก่เป็นกีฬาชาววังวันหนึ่งได้มีการตีไก่กันขึ้นระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับไก่มังชัยสิงห์ ราชนัดดา(ต่อมาได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระมหาอุปราชาในสมัยพระเจ้านันทบุเรง ราชโอรสพระเจ้าบุเรงนอง กำลังกร่ำศึก) มังชัยสิงห์จึงขัดเคืองตรัสประชดประชันหยามหยันออกมา อย่างผู้ถือดีว่ามีอำนาจเหนือกว่า "ไก่เชลยตัวนี้เก่งจริงหนอ" สมเด็จพระนเรศวรสวรจึงตรัสโต้ตอบเป็นเชิงท้าอยู่ในทีว่า ไก่เชลยตัวนี้ อย่าว่าแต่จะตีกันอย่างกีฬาในวังเหมือนอย่าง วันนี้เลย ตีพนันบ้านเมืองกันก็ยังได้มังชัยสิงห์คัดเคืองมากหากแต่ตระหนักดีว่าสมเด็จพระนเรศวร เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าบุเรงนองจะพาลวิวาทก็ยำเกรงฝีมือพระนเรศวร ขณะที่ไก่ของสมเด็จพระนเรศวรกับไก่ของพระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดี กำลังชนกันอย่างทรหด ต่างตัวต่างเข้าจิก ตีฟาดแข้ง แทงเดือยอย่างไม่ลดละ อย่างคาดไม่ถึง ขณะที่ไก่ฟาดแข้งกันอย่างอุตลุดพัลวันเมื่อทั้งสองไก่พัวพันกันอยู่พักหนึ่ง ไก่ของพระมหาอุปราชก็มีอันล้มกลิ้งไปต่อหน้าต่อตา ไก่ของพระนเรศวรกระพือปีกอย่าง ทรนงและขันเสียงใส พระมหาอุปราชถึงกับสะอึก สะกดพระทัยไว้ไม่ได้จากตำราเชื่อว่าไก่ที่พระนเรศวรทรงนำไปชนกับพม่านั้น นำไปจากบ้านกร่าง เดิมเรียกว่าบ้านหัวเท ซึ้งอยู่ห่างจากเมืองพิษณุโลก ไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 9 กิโลเมตร ขณะที่ชนไก่ พ.ศ. 2121 พระชันษา 23 ปี

ลักษณะทั่วไปของไก่ชนพระนเรศวร
เป็นพันธุ์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือ พันธุ์เหลืองหางขาว ตามตำรากล่าวว่า ไก่เหลืองหางขาวไก่เจ้าเลี้ยง ในทุกพื้นที่ที่มีการเล่นไก่ชน ไก่เหลืองหางขาวมักจะเป็นตัวเอกทุกๆ สังเวียนอยู่เสมอ หรือแทบจะเรียกได้ว่าไก่พันธุ์นี้อยู่ในความครอบครองของนักเลงไก่อยู่เสมอ ไก่เหลืองหางขาวจัดว่าเป็นไก่ที่มีสกุลและมีลักษณะเด่นมาก จากประวัติฝีมือความสามารถ ทำให้มีการพูดเสมอในวงพนันว่า ไก่เหลืองหางขาวกินเหล้าเชื่อ หมายความว่าเมื่อนำไก่สีนี้ไปตี สามารถที่จะเชื่อมั่นได้ว่า จะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอนสามารถสั่งเหล้าเงินเชื่อมากินก่อนได้เลย
ไก่เหลืองหางขาวที่มีลักษณะตรงตามตำรา
หน้าหงอนบาง กลางหงอนสูง สร้อยระย้า หน้านกยูง อกชัน หวั้นชิด หงอนบิด ปากร่อง พัดเจ็ด ปีกสิบเอ็ด เกล็ดยี่สิบสอง ถือเป็นไก่ชั้นเยี่ยม

อกชัน
คือ ยืนยืดอกหรือเชิดอก อันจะทำให้ด้านท้ายของตัวลาดลงต่ำ แสดงถึงความเป็นไก่อันธพาล
หวั้นชิด
คือ ข่วงหางอยู่ชิดหรือติดกับบั้นท้ายตรงบริเวณเชิงกราน ทำให้ช่องว่างระหว่างบั้นท้ายกับเชิงกรานแคบแสดงถึงความอึดอดทน
หงอนบิด
คือ หงอนไม่ตรงบิดเอียงไปด้านข้างเล็กน้อยแต่ไม่ไช่พับเอียงมากเกินไปเพราะจะเป็นลักษณะที่ไม่ดี แต่จะเชื่อกันว่าหงอนที่เอียงบิดไปทางขวาเป็นไก่ที่มีฝีมือตามตำราแต่หากเอียงทางซ้ายจะไม่นิยม
ปากร่อง
คือ ที่บริเวณจงอยปาก จะมีร่องเป็นร่องลึกเข้าไปทั้งสองข้างออกจากรูจมูก อันแสดงถึงความเข้มแข็งไม่หลุดหักง่าย
พัดเจ็ด
คือ ที่บริเวณจะพบขนที่เรียกว่าขนพัดข้างละ 7 เส้น
ปีกสิบเอ็ด
คือ ขนปีกท่อนนอกมีข้างละ 11 เส้น ช่วยในการบินได้ดี
เกล็ดยี่สิบสอง
คือ เกล็ดที่นิ้วกลางนับรวมกันได้ 22 เกล็ด จัดเป็นไก่มีสกุลตีเจ็บตีหนัก รุนแรง




เกล็ดแข้งถือเป็นศาสตร์ลึกลับชั้นยอด เป็นเคล็ดวิชาที่เป็นทีเด็ดของนักเลงไก่ระดับเซียน ใครก็ตามที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ จะได้ไก่ที่ชนะตลอดกาล เกล็ดไก่แต่ละตัวจะไม่เหมือนกันแม้จะเป็นครอกเดียวกัน เกล็ดไก่เปรียบเหมือนกับลายมือของคน ที่สามารถบอกอนาคตและฝีมือของไก่ได้ เช่น คนลายมือขาดจะต่อยตีหนัก ไก่มีเกล็ดพิฆาตจะตีชักตีตาย คนที่มองเกล็ดไก่ออกจะต้องมีความชำนาญแบบหมอดูลายมือ

เกล็ดไก่ตามตำราโบราณ
ที่สำคัญมีด้วยกัน 4 แบบ ที่ถือว่าเป็นพญาไก่ คือ เสือซ่อนเล็บ เหน็บชั้นใน ไชบาดาล เกล็ดผลาญศัตรู นอกจากนี้ยังมีเกล็ดอื่นๆที่มีความโดดเด่นรองลงไปมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน สายฟ้าฟาด (สังวาลเพชร ) กากบาทดาวล้อมเดือน เกล็ดดอกจันทร์ เกล็ดกำไล เกล็ดเดิมพัน เกล็ดอัน เกล็ดอุ้ง เกล็ดใต้เท้าและอื่นๆ
เกล็ดเสือซ่อนเล็บ จะเกิดขึ้นบริเวณข้อพับหรือรอยต่อระหว่างหน้าแข้งกับส่วนของนิ้วลักษณะจะมีเกล็ดแซมขึ้นมาระหว่างเกล็ดหลักที่มีอยู่ มีตั้งแต่ 2 เกล็ดขึ้นไป เกล็ดชนิดนี้ปกติ จะถูกทับหรือคลุมด้วยเกล็ดอื่น ในขณะที่ไก่ยืนอยู่จะไม่เห็นเพราะหลบซ่อนอยู่ภายใน หากคลี่ออกดูจะเห็นชัดเจน
เหน็บชั้นใน จะเกิดขึ้นที่นิ้วใดนิ้วหนึ่ง ส่วนมากจะอยู่ที่นิ้วชี้ เป็นเกล็ดขนาดเล็กที่แทรกซ้อนขึ้นมาตั้งแต่ 1 เกล็ดขึ้นไป
ไชบาดาล อยู่ที่โคนนิ้วก้อย จะมีลักษณะเกล็ดแตกมากกว่า 3 เกล็ดขึ้นไปต่อลงมาระหว่างนิ้วก้อยและนิ้วชี้ไปที่อุ้งเท้า
เกล็ดผลาญศัตรู จะมีเกล็ดที่นิ้วชี้แตกตั้งแต่ 1 เกล็ดขึ้นไปที่ข้างใดข้างหนึ่ง ถือเป็นไก่ที่มีสกุลสูง ในสังเวียนจะไม่แพ้ใครง่ายๆ ในไก่ตัวใดที่สามารถพบเกล็ดทั้ง4 ชนิดในตัวเดียวกัน ถือว่าเป็นสุดยอดของพญาไก่ จัดเป็นสกุลสูงสุดไม่มีคำว่าแพ้
เกล็ดอื่นๆ ที่พบโดยทั่วไป
เกล็ดสายฟ้าฟาด ที่บริเวณด้านหลังของแข้งโดยปกติแล้วจะเป็นเกล็ดอ่อนหรือเกล็ดขนาดเล็ก แต่หากเกิดเป็นเกล็ดใหญ่และแข็งเหมือนเกล็ดด้านหลังแข้งเรียงกันเป็นแถว 1-2 แถว จะเรียกเกล็ดนี้ว่าเกล็ดสายฟ้าฟาด ไก่ที่มีเกล็ดนี้จะตีหนัก ตีตายหาได้ค่อนข้างอยาก
เกล็ดดาวล้อมเดือน หรือดอกจันทร์ ลักษณะจะมีเกล็ดเล็ก 1 เกล็ดอยู่ตรงหน้าเดือยหรือใต้เดือยและมีเกล็ดอื่นๆล้อมรอบอีก 4-5 เกล็ด
เกล็ดบัวตูม บัวบาน คล้ายกับดาวล้อมเดือน หากเกล็ดที่อยู่ตรงกลางมีขนาดเล็กล้อมรอบด้วยเกล็ดใหญ่ เรียกว่าเกล็ดบัวตูม แต่หากเกล็ดตรงกลางใหญ่ล้อมรอบด้วยเกล็ดเล็ก จะเรียกว่าเกล็ดบัวบาน ถือเป็นเกล็ดพิฆาตเช่นกัน
เกล็ดกากบาท ที่บริเวณหน้าเดือยจะมีเกล็ดมาเรียงกัน โดยที่รอยแตกของแต่ละเกล็ดอยู่ในแนวเดียวกันหรือต่อกันเป็นรูปกากบาทถือเป็นเกล็ดพิฆาตตีสลบตีตายหากมีทั้งสองข้างจะดี
เกล็ดกำไล คือ เกล็ดใหญ่เกล็ดเดียวที่ออกมาโดดเด่นจากเกล็ดอื่นๆมีขนาดใหญ่และโอบล้อมหน้าแข้งเหมือนกำไลใส่ขา ถือเป็นเกล็ดพิฆาต ตีเจ็บ ตีชัก หากมีทั้งสองข้างถือว่าดี
เกล็ดแตกตรงเดือย ที่หน้าเดือยจะมีรอยแตกของเกล็ดเป็นแนวซึ่งเมื่อลากเข้าหาเดือยแล้วจะเป็นเส้นตรงแนวเดียวกับเดือย ไก่ที่มีเกล็ดแบบนี้จะถือว่าเป็นไก่แทงแม่น แทงจัดใช้เดือย
เกล็ดข้าวตอกแตก เกิดจากเกล็ด 2-3 แถวเรียงกันมาถึงหน้าเดือย แล้วแตกกระจายเป็นหลายแถว เป็นไก่ที่เดินตี ตีชัก
เกล็ดอัน จะมี 2 แบบ คือ เกล็ดเม็ดข้าวโพดและเม็ดข้าวสารอยู่บริเวณด้านข้างของแข้งเรียงขึ้นจากเดือยเป็นแถวหากมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆจากล่างขึ้นบน เชื่อกันว่ามีมากอันไม่ดี หากด้านล่างมีขนาดใหญ่ชัดเจน 3-4 เกล็ด เชื่อว่าจะหักคู่ต่อสู้ได้ในเวลาไม่กี่อัน โบราณเชื่อว่าเม็ดข้าวสารจะดีกว่าเม็ดข้าวโพด
เกล็ดเดิมพัน เป็นเกล็ดที่บอกได้ว่าไก่ตัวนั้นๆเข้าเงินเดิมพันได้ดีหรือไม่ดี เพราะถือว่าเป็นเคล็ดหักล้างกัน เช่น หากเกล็ดเดิมพันไม่ดีแต่ตีเดิมพันสูงจะแพ้ได้ง่าย แต่หากเล่นเดิมพัน พอตัวไม่มาก อาจจะเป็นฝ่ายชนะ เกล็ดนี้จะดูได้จากแถวของเกล็ดที่เรียงขึ้นมาจากนิ้วก้อยผ่านเดือยขึ้นเป็นแนวยาวยิ่งมากจะยิ่งดีสามารถตีเดิมพันได้สูง แต่หากมีน้อยแสดงว่า เข้าเดิมพันไม่ดี บางรายเชื่อว่าสามารถตีครั้งไหนจะชนะ หรือแพ้ โดยดูจากการเรียงของเกล็ด เช่น หากมีเกล็ดขัดอยู่ในแถวที่ 4 แสดงว่าครั้งที่ 1-3 จะดี แต่ ครั้งที่ 4 จะแพ้ให้ แก้เคล็ดโดยการตีเดิมพันต่ำๆเพียง 1-2 อัน แล้วยอมแพ้เพื่อไม่ให้ไก่ช้ำ ต่อจากนั้นให้นับหนึ่งเริ่มต้นใหม่จากด้านล่างเป็นรอบต่อไป
ลักษณะของเกล็ดที่หน้าแข้งจะมีอยู่หลายแบบด้วยกัน คือ เกล็ดกำไลตลอด หรือเกล็ดพันลำ จะมีเกล็ดแถวเดียวคาดตลอดทั้งแข้งหาได้ยากมาก เกล็ด 2 แถว เกล็ด 3 แถว เกล็ดปัดตลอด (เรียงกันเป็นระเบียบสองแถว )เกล็ดตะเข้ขบฟัน (ปลายเกล็ดทั้งสองแถวสลับกัน) เกล็ดพญาครุฑ ( 3 แถวเรียงกันเป็นระเบียบและมีเหน็บแทรกอยู่ตลอด )

ลักษณะไก่ชนพระนเรศวรมหาราชโดยละเอียด
หัว ตั้งแต่ปลายหงอนถึงคอมีลักษณะโค้งมน ขนหัวตั้งแต่หัวคิ้วทั้งสองข้างปลายประสานกันตรงกลาง ดูเป็นเส้นตรง ดูเป็นสันตรงกลางหัว
หน้า แหลมยาว เรียว เหมือนนกยูง ไม่หนาใหญ่เทอะทะ อันจะตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่าย และเชื่อว่าไก่หัวโตจะเป็นไก่โง่หรือไก่ดื้อ
ตา มีขนาดเล็กตาขาวมีสีขาวอมเหลือง มีเส้นเลือดแดงโดยรอบหัวตาแหลมเป็นรูปตัว V ซึ้งเกิดจากเปลือกตาบนและล่างบรรจบกันที่หัวตาจึงดูเหมือนตาเรียวเรียกว่า ตาสดใส จัดเป็นไก่ฉลาดและบึกบึน
หู หูทั้งสองข้างมีขนสีเหลืองและขาวเหมือนสีของตัวไก่ ขนหูมาก ปิดรูหูมิดไม่มีขี้หู (หากมีขี้หูแสดงว่าไก่ไม่สมบูรณ์หรือกำลังอาจไม่สบาย )
ตุ้มหู เป็นเนื้อสีแดงจัดเหมือนสีของหน้าไก่ มีรูปยาวรีขนาดไม่ใหญ่และไม่ยาน
เหนียง เป็นแผ่นเนื้อ 2 แผ่นอยู่ใต้คางตั้งแต่โคนปากล่างทั้ง 2 ข้างลงมาปิดลูกกระเดือกมีสีแดงจัด ไม่ยาน
หงอน จัดอยู่ประเภทหงอนหินมี 3 แถวตามยาวโดยแถวกลางสูงกว่า หงอนมีสีแดงจัดตั้งอยู่บนหัว ตั้งแต่โคนปากไปจนถึงหัวไก่ด้านล่าง หงอนด้านหน้าเหมือนปากมีลักษณะ บางและตรงกลางหงอนสูง หงอนแดงจัดแสดงว่าไก่ฟิตจัด
ปาก ปากมีสีขาวอมเหลืองมีขนาดยาว โคนปากใหญ่ ขอบปากและปลายปากคม ปากบนปิดปากล่างสนิท รูปร่างคล้ายปากนกแก้ว ขนาดปากหนาและงุ้มลักษณะแข็งแรงมั่นคง ปากบนมีร่องตั้งแต่โคนตรงรูจมูก
รูจมูก ทั้งสองข้างยาวและใหญ่โคนปากทั้งสองข้างช่วยให้หายใจคล่องเมื่อไก่เหนื่อย สันกระดูกเหนือรูต่อจากโคนปากจะมีสีขาวอมเหลือง
คิ้ว โหนกคิ้วเป็นสันโค้งปิดเป้าตา ทำให้ป้องกันลูกตาได้ดีจากการตี
คอ นับตั้งแต่ใต้คางลงมาถึงหัวไหล่ ต้องยาวและใหญ่กระดูกแต่ละข้อถี่
สร้อย สร้อยปะบ่าระย้าปะก้น สร้อยมีสีเหลืองทั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ สร้อยปีกหรือสร้อยหลัง
สร้อยคอ มีสีเหลืองลักษณะเส้นเล็กและหนาแน่นยาวปะบ่า
สร้อยหลัง มีสีเหลืองแหลมปลาย ยาวระย้าปะถึงก้นหลัง หลังแผ่ขนาดใหญ่
ปีก เมื่อกลางออกจะเห็นกล้ามเนื้อปีกใหญ่ หนาตลอดทั้งปีก เอ็นยึดกระดูกแข็งแรง ขนปีกขึ้นหนาแน่นชิด มีความยาวเท่ากันขนปีกยาวถึงกระปุกน้ำมัน
กระปุกก้น อยู่เหนือโคนหาง มีขนาดใหญ่อยู่ชิดกับกระดูกก้นกบ
ต่อมน้ำมัน อยู่เหนือกระปุกก้นเหนือโคนหาง มีขนาดใหญ่และสองต่อมอยู่ติดกัน
ตะเกียบตูด เป็นกระดูกสองอันออกจากกระดูกซี่โครงสุดท้ายยาวถึงก้นเป็นกระดูกหนาแข็งแรงลักษณะโค้งเข้าหากันและอยู่ชิดกันทั้งสองข้าง เชื่อกันว่าจะเป็นที่ตีเร็วและแรงดี
หาง จะมีสีขาวเป็นส่วนใหญ่ กะลวยหางเป็นสีขาว หางทั้งหมดดูเป็นพวงใหญ่ ยาวโค้งไปทางด้านหลัง ปลายหางห้อยตกลงเล็กน้อยดูแล้วสวยงาม แสดงว่าเป็นไก่ที่มีกำลังดี
ปั้นขา กล้ามเนื้อโคนขามีขนาดใหญ่ แสดงว่ามีกำลังดี
อก อกกว้างใหญ่ กล้ามเนื้อเต็ม กระดูกหน้าอกแข็งแรงโค้งเป็นท้องเรือยาว อกกว้าง เวลายืนโคนขาจะห่างจากกัน
กระดูกไหปลาร้า อยู่ระหว่างหัวปีกมายังหน้าอกเป็นกระดูกใหญ่และยาวแข็งแรง แสดงว่าเป็นไก่ที่ตีทน พลังสูง
แข้ง สีของแข้ง เกล็ดนิ้วเท้า เล็บและเดือยมีสีเหลืองอมขาว แข้งมีขนาดเล็ก กลม มีเกล็ดแข้ง 2 แถว
นิ้ว มีลักษณะยาวปล่อยนิ้วเรียว นิ้วกลางยาวเรียว มีเกล็ดตั้งแต่ 20 เกล็ดขึ้นไป เหนือฝ่านิ้วเท้ามีปุ่มตรงข้อเป็นลักษณะคล้ายเนื้อด้านนิ้วละ 3 ข้อ ทำให้ยึดจับดินได้ดียืนมั่นคง
อุ้งตีน หนังอุ้งตีนบางเวลายืนอุ้งตีนต้องไม่ติดพื้น เพราะจะทำให้เกิดปัญหาอุ้งตีนบวมได้
เล็บ มีสีเหมือนแข้ง คือมีสีเหลืองอมขาว โคนเล็บใหญ่หนาแข็งแรง ปลายแหลม
นิ้วก้อย ปลายนิ้วจะแผ่ใหญ่ เกล็ดมีรอยแตกตั้งแต่ 1 เกล็ดขึ้นไป แสดงว่าเวลาตีแล้วแทง
เสียงขัน ขันเสียงใหญ่ ยาว แสดงถึงความมีพลังหรือเป็นไก่ที่แข็งแรงสมบูรณ์
ท่ายืน ยืนยืดอกตรงยืนขาตรงชิดข้อขาไม่งอหัวปีกยกการยืนต้องมีลักษณะที่เรียกว่ายืนผงาดดังราชสีห์ซึ้งแสดงว่าเป็นไก่ที่ไม่ยอมก้มหัวให้คู่ต่อสู้ข้อขาที่ยืดตรงแสดงว่าเป็นไก่เตะแม่น
เดือย มีสีขาวอมเหลือง เป็นกระดูกที่ออกมาจากแข้งด้านใน โคนมีขนาดใหญ่ เรียวแหลม คมที่ปลายเดือยงอนช้อนเล็กน้อย และโคนเดือยต่ำชิดนิ้วก้อย (ห่างกันไม่เกิน 1 ซ.ม. ) แสดงว่าเป็นไก่แทงเก่ง
ท่าเดิน เดินมีสง่าเหมือนกับท่ายืน เวลาเดินยกเท้าขึ้นก็จะกำนิ้วทั้งหมด การเดินมีการระแวดระวังและเฉลียวฉลาด แสดงว่าเป็นไก่ที่มีเหลี่ยมจัด สามารถเปลี่ยนแปลงชั้นเชิงในการตี ได้หลายรูปแบบ

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความเชื่อโบราณของคนท้อง

 5. ห้ามกินกล้วยน้ำว้า เพราะจะทำให้คลอดยาก
  คุณคัทรินทร์ ปิยะวาทวงศ์ นักโภชนาการจากโรงพยาบาลพระรามเกล้าได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “...กล้วยน้ำว้าเป็นกล้วยที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง สาเหตุที่คนโบราณห้ามไม่ให้คนท้องกินนั้นน่าจะมีหลายสาเหตุ อย่างเช่น กลัวเด็กจะตัวโตแล้วคลอดยาก เพราะในสมัยก่อนยังไม่มีการผ่าตัดทำคลอด หากเด็กในท้องอ้วนท้วนสมบูรณ์เกินไปจะเป็นอันตรายต่อทั้งแม่และลูกได้ค่ะ อีกอย่างนั้นคือ ในกล้วยสุกๆ จะหวานมีแป้งมาก กินสองสามลูกก็จะรู้สึกอิ่มจนไม่อยากกินอย่างอื่น ทำให้ขาดสารอาหารได้ นอกจากนี้ การกินกล้วยห่ามๆ ไม่สุกจะทำให้เกิดอาการท้องผูก อาการท้องผูกนั้นเป็นปัญหาของคนท้องอยู่แล้ว ยิ่งกินกล้วยห่ามๆ เข้าไปจะทำให้มีปัญหาเรื่องท้องผูกมากยิ่งขึ้นค่ะ...

 6. ห้ามกินเนื้อวัว
เพราะเชื่อว่าจะทำให้เนื้อตัวทารกที่เกิดใหม่ จะเต็มไปด้วยไขมันล้างออกยาก เกี่ยวกับข้อห้ามข้อนี้ คุณคัทรินทร์กล่าวว่า “...จริงๆ แล้วโภชนาการสมัยใหม่ไม่ได้ห้ามไม่ให้คนท้องกินเนื้อวัวค่ะ แต่ควรระมัดระวังเพราะโดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่ที่กินเนื้อวัวมักจะไม่ชอบกินสันในแต่ชอบกินเนื้อติดมัน ซึ่งจะทำให้อ้วนมีไขมันเยอะค่ะ...

 7. ห้ามกินหอย
  คนโบราณห้ามคนท้องกินหอยทุกประเภท เพราะมีความเชื่อว่า เวลาคลอดจะมีกลิ่นคาว และคลอดยากเหมือนหอยที่ติดอยู่ในเปลือก คุณคัทรินทร์ได้กรุณาชี้แจงในเรื่องนี้ว่าโภชนาการคนท้องสมัยนี้ไม่มีข้อห้ามไม่ให้คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์กินหอยค่ะ เพราะหอยส่วนใหญ่จะให้คุณค่าให้สารไอโอดีนสูงคุณแม่ควรจะกินเพื่อป้องกันการขาดสารไอ โอดีน ยกเว้นแต่คุณแม่ตั้งครรภ์ในรายที่มีไขมันในเลือดสูง ควรงดกิน โดยเฉพาะหอยนางรมที่มีคอเรสเตอรอลสูงมากค่ะ

 8. ห้ามกินผักที่เป็นเครือเถา
  คนโบราณในบางท้องที่เช่นทางภาคเหนือจะห้ามไม่ให้คนท้องกินผักที่มีลักษณะเป็นเครือเถ า เช่นผักตำลึง ยอดฟักทอง เป็นต้น คุณคัทรินทร์อธิบายในเรื่องนี้ว่าน่าจะมาจากการที่คนสมัยก่อน ประสบกับตัวเองเป็นต้นว่า เห็นคนที่กินอาหารประเภทนี้แล้วมีอาการปวดขา ตามหลักโภชนาการแล้วน่าจะมีส่วนค่ะ เพราะในผักยอดอ่อนจะมีสาร purin สูง สารนี้เมื่อทำการย่อยจะกลายเป็นกรดยูริก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคเก๊าส์ได้ ส่วนคนที่กินแล้วไม่เกิดอาการใดๆ นั้นควรจะทานผักเยอะๆ เพราะช่วยให้การขับถ่ายง่ายขึ้น

                                                                                                                           ( เครดิตนิตยสารบันทึกคุณแม่ ปีที่ 10 กรกฎาคม 2547)

ความเชื่อโบราณเกี่ยวกับคนท้อง

 3. ห้ามไปงานศพ
  ร.อ. (หญิง) เพ็ญพร สมศิริ หัวหน้าโครงการเตรียมมารดาเพื่อการคลอด กองสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าได้แนะนำไว้ในหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน” (7 มี.ค. 2544) ว่า “...หญิงตั้งท้องในระหว่างรอคลอดอย่าเครียด และแสดงอาการวิตก เพราะจะส่งผลต่อทารกน้อยในครรภ์ ...ควรทำใจให้มีความสุขยิ้มแย้ม เด็กเกิดมาจะได้มีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง...

  น่าแปลกที่ความเชื่อเรื่องนี้ปรากฏมีตรงกันแทบทุกท้องถิ่นของประเทศไทย แตกต่างกันเฉพาะเหตุผลที่ไม่อนุญาตหรือห้ามคนตั้งครรภ์ไม่ให้ไปร่วมงานเท่านั้นที่ไม ่ตรงกัน เช่น บางที่ให้เหตุผลว่า กลัวมีวิญญาณร้ายจากสุสารติดตามมาบางท้องที่ก็บอกว่า กลัวผีเข้า

  อย่างไรก็ตามหากพิจารณาตามหลักจิตวิทยาโดยยกเอาคำแนะนำของคุณหมอเพ็ญพรข้างต้นมาประกอบฬ จะเห็นถึงความห่วงใยที่คนรุ่นเก่ามีต่อคนตั้งครรภ์และเด็กในท้อง ไม่อยากให้ต้องเข้าไปอยู่ท่ามกลางบรรยากาศ แห่งความสูญเสียโศกเศร้า ทำให้จิตใจต้องสลดหดหู่และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นงานศพของญาติพี่น้องคนที่รักด้วย แล้ว อาจจะทำให้เกิดอาการ เครียดขึ้นมาได้ ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อทั้งตัวแม่และลูกในครรภ์

 4. ห้ามออกกำลังกาย / ควรออกกำลังกาย
  คงเป็นเพราะในระหว่างการตั้งครรภ์คุณแม่ส่วนใหญ่มักมีอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้อาเจียน ฯลฯ ดังนั้น ในสมัยก่อนบางท้องถิ่นจึงมองว่าการตั้งครรภ์นั้นเหมือนเป็นการเจ็บป่วยชนิดหนึ่ง ซึ่งต้องการการพักผ่อนห้ามออกแรงในเรื่องนี้ พลเรือตรี นายแพทย์สุริยา ณ นคร รองเจ้ากรมแพทย์โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้าได้กล่าวไว้ในบทความเรื่องหญิงมีครรภ์กับการออกกำลังกายในน้ำดังนี้ “...อย่างไรก็ดีหลักฐานต่างๆ แสดงว่าการออกกำลังกายสม่ำเสมอในระหว่างการตั้งครรภ์ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการออกกำลังกาย ช่วยให้คลอดง่ายและหลังคลอดแล้วร่างกายจะคืนสู่สภาพปกติรวดเร็ว...อย่างไรก็ตาม ท่านรองเจ้ากรมแพทย์ได้บอกว่า สตรีมีครรภ์ควรออกกำลังกายอย่างระมัดระวัง และพอเหมาะภายใต้คำแนะนำของแพทย์

  ความเชื่อในเรื่องนี้ไม่เป็นเอกฉันท์แตกต่างไม่ตรงกันเหมือนดังข้ออื่นๆ เพราะบางท้องที่ทางภาคเหนือกลับนิยมให้หญิงมีครรภ์ทำงานบ้านไม่นั่งไม่นอนอยู่เฉยๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า หากอยู่เฉยๆ ไม่ทำงานแล้วท้องจะฝืดทำให้คลอดลูกยาก ซึ่งสอดคล้องกับเหตุผลที่คุณหมอแนะนำมาอย่างน่าประหลาดใจ

ความเชื่อโบราณเกี่ยวกับคนท้อง

1. ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน
  คุณเชื่อหรือไม่คะว่าคนสมัยก่อนเชื่อกันว่า การดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนทุกวันระหว่างตั้งครรภ์นั้น จะทำให้เด็กทารกที่คลอดมามีผิวพรรณสะอาดเกลี้ยงเกลา ไม่มีไขมันติดตัวออกมาเวลาคลอด เกี่ยวกับความเชื่อมในเรื่องนี้นั้นคุณคัทรินทร์ ปิยะวาทวงศ์ นักโภชนาการโรงพยาบาลพระรามเก้ากล่าวชี้แจงว่า “... ในเรื่องนี้นั้นยังไม่มีงานวิจัยออกมายืนยันอย่างชัดเจนค่ะว่าข้อเท็จจริงนั้นเป็นอย่างไร

 อย่างไร แต่เคยมีงานวิจัยของเมืองนอกชิ้นหนึ่งออกมาว่า ในน้ำมะพร้าวมีสารชนิดหนึ่งซึ่งช่วยให้มดลูกบีบตัว ดังนั้นหากหญิงมีครรภ์ดื่มน้ำมะพร้าวเข้าไปสารตัวนี้ก็จะไปช่วยให้มดลูกบีบรัดรก ทำให้เกิดมีการคล้ายๆ ชะล้างเกิดขึ้น ...เหมือนๆ กับที่มีข้อห้ามไม่ให้คนที่กำลังมีประจำเดือนดื่มน้ำมะพร้าวนั่นแหละค่ะ เพราะเกรงว่าจะไปบีบรัดมดลูก แต่ยังไม่มีงานวิจัยใดที่ออกมายืนยันว่าดื่มน้ำมะพร้าวแล้วผิวพรรณเด็กจะดีค่ะ...อย่างไรก็ตามไม่ได้มีข้อห้ามไม่ให้คุณแม่ตั้งครรภ์ดื่มน้ำมะพร้าวที่แสนอร่อย เย็นชื่นใจ ... จริงไหมคะ

 2. ห้ามนอนหงายเพราะรกจะติดหลังแล้วคลอดออกมาไม่ได้
  พ.อ. ดาราพงศ์ ลังกาฟ้า สูตินรีแพทย์ได้กรุณาให้คำตอบเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องนี้ว่า “...เป็นการเข้าใจผิดของคนในสมัยก่อน ซึ่งไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องรกในร่างกาย รกจะไม่เกาะติดกับหลังของเรา เพราะรกอยู่ในมดลูก รกจะเกาะติดด้านหน้า หรือด้านหลังของมดลูกก็ได้ไม่มีอันตรายใดๆ ที่จะมีอันตรายคือ รกเกาะต่ำ โดยรกมาเกาะด้านล่างบริเวณปากมดลูก ซึ่งทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอดได้ รกจะเกาะที่ไหนไม่ได้ขึ้นกับท่านอน การนอนตะแคงดีกว่านอนหงายในอายุครรภ์หลังๆ ตอนท้องโต การนอนหงายมดลูกจะไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ ซึ่งอยู่ด้านหลังมดลูกได้ ทำให้ความดันโลหิตต่ำลง และเลือดไปหล่อเลี้ยงมดลูกน้อยลง เป็นอันตรายต่อแม่และเด็กได้ แต่ถ้านอนตะแคง มดลูกจะไม่ไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ อันตรายก็ไม่เกิดขึ้น...

  ข้อห้ามไม่ให้ คนท้องนอนหงายนี้ ดูเหมือนจะเป็นความเชื่อของคนแทบทุกภาคของประเทศ ต่างกันเพียงแค่เหตุผล (คำขู่) เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเองค่ะ บางท้องถิ่นบอกว่า...หากคนท้องนอนหงาย ลูกในท้องจะดิ้นแรง ทำให้แม่ท้องแตกตายได้ ...ฟังแล้วน่ากลัวจังเลยนะคะ อย่างไรก็ตามจากการวิจัยทางการแพทย์ของหลายหน่วยงานยืนยันว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ควรนอนตะแคงด้านซ้ายเพราะเส้นเลือดใหญ่อยู่ทางด้านขวา หากนอนตะแคงขวาจะทำให้เลือดไหลไม่ค่อยสะดวกค่ะ

อาการคนท้อง

   ระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยอาการแพ้ท้องจะมีมากในช่วง 3 เดือนแรก เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ช่วงตื่นนอน จะมีอาการมึนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน บางคนอาจมีอาการมากถึงขั้นรับประทานอาหารไม่ได้ หลังตื่นนอนตอนเช้า ควรดื่มน้ำผลไม้ และรับประทานขนมปังกรอบทันที จะทำให้รู้สึกดีขึ้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นฉุนจัด เพราะอาจทำให้คลื่นไส้มากขึ้น นอกจากนี้อาจอยากรับประทานอาหารแปลกๆที่มีรสเปรี้ยว
อาการปวดหลังพบได้บ่อยเกือบครึ่งหนึ่งของสตรีมีครรภ์ โดยมักปวดที่หลังส่วนล่าง ระหว่างก้นทั้งสองข้าง ร้าวลงไปที่ต้นขา มักเป็นช่วงท้ายๆของการตั้งครรภ์ การยืนนานๆในท่าที่ไม่ถูกต้องหรือยกของหนักเกินไป ทำให้ปวดหลังได้ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ ทำให้ข้อกระดูก และเอ็นต่างๆคลายตัวหลวมมากขึ้น ความแข็งแรงของข้อลดลง จึงทำให้ปวดหลังได้ ควรพยายามนอนพื้นเรียบ ใช้หมอนหนุนหลังเวลานั่ง อย่าก้มหยิบของ ควรใช้วิธีนั่งหยิบแทน และควรใส่รองเท้าส้นเตี้ย อาจให้สามีช่วยนวดหลังเบาๆ นอกจากจะคลายปวดแล้ว ยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ด้วย   (เครดิตมาหนุกจังดอทคอม)

การดูแลผิวขณะท้อง

เมื่อผู้หญิงเริ่มตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านสรีระ และอารมณ์ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนหลายชนิด ผิวพรรณที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมักก่อให้เกิดความกังวลใจไม่น้อย การรับรู้ถึงภาวะปกติ และไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณขณะตั้งครรภ์จะช่วยให้รับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องกังวล
รอยคล้ำ จะสังเกตได้ว่าบริเวณข้อพับของร่างกายมีสีเข้มขึ้นตั้งแต่รักแร้ ขาหนีบ ต้นขาด้านใน รวมถึงหัวนม และอวัยวะเพศ แต่ที่กลัวกันมากที่สุด คือ มีฝ้าขึ้นที่หน้า โดยเฉพาะคนที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ กระที่เป็นอยู่แล้วก็มักสีเข้ม และเพิ่มจำนวนมากขึ้นแต่อย่าเพิ่งกังวล รอยคล้ำต่างๆ เหล่านี้จะค่อยๆ จางลงอย่างช้าๆ ภายหลังคลอด

สิว
 เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างตั้งครรภ์ มีผลต่อการทำงานของต่อมไขมันทำให้บางคนเกิดเป็นสิวเห่อขึ้นที่หน้า และตัวได้ แต่กับบางคนก่อนตั้งครรภ์เป็นสิวง่าย พอตั้งครรภ์แล้วสิวหายหน้าผ่องก็มี
รอยแตกลาย เกิดขึ้นจากการยืดตัวของผิวหนังขณะตั้งครรภ์มักพบบริเวณหน้าท้อง สะโพก ก้น หน้าอกต้นขา อาจเป็นสีชมพู ม่วง หรือดำในคนผิวคล้ำ บางคนอาจมีอาการคันร่วมด้วยหลังคลอดอาจจางลงได้เล็กน้อย ติ่งเนื้อสีน้ำตาลดำ มักเกิดขึ้นที่คอ รักแร้
การติดเชื้อรา ที่ผิวหนังบริเวณที่มีการอับชื้น เนื่องจากคนท้องมักขี้ร้อน เหงื่อออกง่าย จึงเกิดจุดอับชื้นบริเวณซอกพับที่สรีระมีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น ใต้ราวนมรักแร้ขาหนีบเป็นสาเหตุของการติดเชื้อราแคนดิดาได้ง่าย
โรคผื่นคันในคนท้อง มีลักษณะเป็นผื่นลมพิษตุ่มแดง คัน ที่ไม่ได้เกิดจากการแพ้อาหารหรือสารเคมีมักเป็นเมื่อครรภ์แก่ในช่วงสามเดือนก่อนคลอด ผื่นคันนี้อาจลามกระจายทั้งตัวได้ แต่หลังคลอดผื่นก็จะค่อยๆ จางหายไปในที่สุด

น้ำหนักในการตั้งครรภ์

โดยทั่วไปแพทย์มักจะแนะนำหญิงตั้งครรภ์ว่าควรมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10 กิโลกรัมตลอดการตั้งครรภ์ แต่ถ้ามีน้ำหนักตัวเพิ่มไม่ถึงเกณฑ์กำหนดมักจะพบว่าทารกที่เกิดมาจะมีน้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำกว่าปกติ หรือทารกน้ำหนักน้อย ตัวเล็กผิดปกติ ขณะเดียวกันหญิงตั้งครรภ์ถ้ากินมากเกินไปจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก และทำให้เกิดปัญหาต่อการตั้งครรภ์หลายประการ เช่น ทารกตัวโตคลอดลำบาก หญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวมากจะทำให้เหนื่อยง่าย ปวดหลังมากขึ้น เส้นเลือดขอดมากขึ้น และทำให้แผลผ่าตัดติดช้า เกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดได้ง่าย
บางครั้งหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากๆ มิได้หมายความว่าทารกในครรภ์จะตัวโตเสมอไป อาจจะได้ทารกน้ำหนักน้อยก็มี ทั้งนี้เนื่องจากภาวะโภชนาการที่ไม่เหมาะสม โดยเน้นที่ปริมาณมากกว่าคุณภาพ การเพิ่มน้ำหนัก 10 กิโลกรัมต่อการตั้งครรภ์ เป็นน้ำหนักโดยเฉลี่ยที่ต้องพิจารณาตามรูปร่าง และขนาดตัวของหญิงตั้งครรภ์ เช่น ผู้ที่มีรูปร่างเล็ก และมีขนาดตัวก่อนการตั้งครรภ์น้อยกว่า 5 กิโลกรัม การเพิ่มของน้ำหนักตัวตลอดการตั้งครรภ์ อาจจะน้อยกว่า 10 กิโลกรัมได้ ทั้งนี้น้ำหนักที่เพิ่มจะเป็นน้ำหนักของทารก 3 กิโลกรัม และเป็นน้ำหนักของรก น้ำหล่อเด็ก เนื้อเยื่อที่ยืดขยายของเต้านม มดลูก เป็นต้น อีก 5-6 กิโลกรัม
หญิงตั้งครรภ์ที่ควรจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มมากเป็นกรณีพิเศษ คือผู้ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากเป็นกรณีพิเศษ คือผู้ที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่ามาตรฐานในขณะก่อนตั้งครรภ์ โดยในระยะไตรมาสแรกควรจะพยายามปรับให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเท่ามาตรฐาน แล้วใช้เวลาในระยะ 6 เดือนต่อมาเพิ่มน้ำหนักให้ได้เท่าที่ต้องการตลอดการตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานก่อนการตั้งครรภ์ ต้องระวังดูแลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่เหมาะสม โดยเลือกกินอาหารเป็นพิเศษ
ระยะเวลาตลอดการตั้งครรภ์ไม่ใช่เวลาที่จะควบคุมน้ำหนักด้วยการงดอาหารอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้เพราะทารกจะได้พลังงานจากการเผาผลาญไขมันของหญิงตั้งครรภ์เท่านั้น แต่จะไม่ได้สารอาหารใดๆ ทั้งสิ้น หญิงตั้งครรภ์แฝดสอง หรือแฝดสาม มิได้หมายความว่าจะต้องมีน้ำหนักเพิ่มเป็นสอง หรือสามเท่าตามจำนวนทารกในครรภ์ แต่อาจจะเพิ่มน้ำหนักโดยเฉลี่ย 5 กิโลกรัมต่อทารก 1 คน โดยกินอาหารภายใต้การดูแลของแพทย์
อัตราการเพิ่มของน้ำหนักตัว โดยเฉลี่ยน้ำหนักตัวของหญิงตั้งครรภ์จะมีการเพิ่มน้อยในช่วงระยะไตรมาสแรกคือประมาณ 1-2 กิโลกรัมเท่านั้น และจะมีน้ำหนักเพิ่มอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาสที่สองจนถึงต้นไตรมาสที่สาม คือในอายุครรภ์ 3-8 เดือน น้ำหนักจะเพิ่มโดยเฉลี่ย 1/2 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ และในระยะเดือนสุดท้ายน้ำหนักจะคงที่หรือลดลงบ้างเล็กน้อยประมาณ 1/2 กิโลกรัมดังนั้นในไตรมาสที่สามน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นเพียง 2-3 กิโลกรัมเท่านั้น

คนท้องน่ารู้

ปัญหาในการเคี้ยวอาหาร
หากมีโรคเกี่ยวกับเยื่อหุ้มฟันอยู่แล้ว อาการอาจรุนแรงขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ ฟันอาจโยกได้มากขึ้น สตรีมีครรภ์บางท่านอาจรู้สึกคลื่นไส้ และอาเจียน ส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมา และอาจกัดกร่อนฟันได้ ปกติแล้ว ฟันที่ถูกกัดกร่อนจะเป็นซี่ที่ติดกับด้านข้างลิ้น
การดูแลเต้านม
ขณะตั้งครรภ์เต้านมจะขยายขึ้น เพื่อเตรียมสร้างน้ำนมให้ลูกน้อย ควรเปลี่ยนยกทรงให้มีขนาดพอเหมาะใส่สบาย คุณแม่บางคนอาจจะมีน้ำนมไหลซึมออกมา ไม่ต้องกังวลใจ เวลาอาบน้ำให้ล้างเต้านมด้วยน้ำสะอาด ไม่ควรฟอกสบู่เพราะจะทำให้ผิวแห้งมาก อาจใช้โลชั่นทานวด เมื่อรู้สึกผิวแห้งตึง หรือคัน ถ้ามีปัญหาหัวนมสั้น หัวนมบอด หรือผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลที่ฝากครรภ์ก่อนที่จะคลอด มิฉะนั้นอาจจะมีอุปสรรคต่อการให้นมลูก
การมีเพศสัมพันธ์
ไม่มีข้อห้ามในผู้ตั้งครรภ์ปกติ แต่ควรงดเว้นใน 1 เดือน สุดท้ายก่อนคลอด ในรายที่เคยแท้ง ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ในรายที่มีปัญหาอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ หรือพยาบาลผู้ตรวจครรภ์

การรักษาความสะอาดร่างกายคนท้อง

1.ระยะตั้งครรภ์จะรู้สึกร้อน และเหงื่อออกมาก ควรอาบน้ำให้ร่างกายสะอาดสดชื่น แต่ถ้าอากาศเย็นควรอาบน้ำอุ่น และให้ความอบอุ่นกับร่างกาย ถ้าผิวแห้งตึงให้ใช้โลชั่นทาหลังอาบน้ำ
2.การดูแลปาก และฟัน หญิงตั้งครรภ์มักมีปัญหาฟันผุ และเหงือกอักเสบได้ง่าย ควรแปรงฟันอย่างถูกวิธีวันละ 2 ครั้ง และบ้วนปากด้วยน้ำสะอาด หรือแปรงฟันทุกครั้งหลังอาหาร
3.ในระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่บางท่านอาจรู้สึกว่าอยากทานอาหารแปลกๆ และส่งผลให้เหงือกอาจจะอักเสบ หรือบวมได้ และอาจรู้สึกขยับปากลำบาก จึงอาจละเลยเรื่องการรักษาสุขอนามัยภายในช่องปาก จึงส่งผลให้มีคราบสะสมภายในช่องปาก และมีโอกาสเกิดฟันผุได้มากขึ้น
4.โรคเหงือกอักเสบในระหว่างตั้งครรภ์ หลอดเลือดฝอยในบริเวณเหงือกมีฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้เกิดเลือดคลั่งในเหงือก และเหงือกมีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อลดลง หรือที่รุนแรงกว่านั้น คือทำให้เกิดเนื้องอกที่เหงือก เหงือกมีสีแดงเข้ม และไม่เจ็บปวด ซึ่งเหงือกมีเลือดคั่งอย่างมาก และเหงือกมีเลือดออกเป็นประจำ แต่เนื้องอกหรืออาการเลือดออกดังกล่าวจะค่อยๆ หายไปเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายของการตั้งครรภ์ ไม่แนะนำให้ตัดเนื้องอกนี้ทิ้ง นอกจากว่าจะเกิดแผลในช่องปากหรือมี

การออกกำลังกายคนท้อง

ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารดี ร่างกายแข็งแรง เช่น เดินเล่นในที่ที่มีอากาศปลอดโปร่ง ทำงานบ้านเบาๆ บริหารร่างกายด้วยท่าง่ายๆ
ข้อควรระวัง คือ อย่าออกกำลังกายหักโหมจนร่างกายเหนื่อย อ่อนเพลีย หรือกระทบกระเทือนท้อง
การบริหารร่างกายสำหรับคุณแม่ก่อนคลอด
ท่าที่ 1 ยืนตรง มือเท้าเอง เท้าแยกพอประมาณ หลังตรง หาหนังสือเล่มหนาๆ ประมาณ 1-2 เล่ม วางอยู่ระหว่างเท้า ค่อยๆ ย่อขาลงหยิบหนังสือขึ้นจากพื้น แล้วยืนขึ้น ทำซ้ำ 5 ครั้ง
ท่าที่ 2 นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มือซ้ายจับเข่าขวา พยายามบิดตัวไปทางขวาช้าๆ
ท่าที่ 3 นอนหงายชันเข่า ยกสะโพกขึ้นจากพื้นจนตึง ค้างไว้แล้วลดลง ทำซ้ำ 5 ครั้ง
ท่าที่ 4 นั่งคุกเข่าให้มือทั้งสองข้างวางบนพื้น ออกแรงโค้งหลังขึ้นขางบนจนสุดแล้วค้างไว้ ทำซ้ำ 5 ครั้ง
ท่าที่ 5 เอียงคอไปด้านซ้าย และกลับมาตรง เอียงคอไปด้านขวา และกลับมาตรง ก้มคอไปด้านหน้า และกลับมาตรง ทำซ้ำอย่างละ 5 ครั้ง
ท่าที่ 6 ยืนตรง มือทั้งสองข้างแตะไหล่หมุนไหล่เป็นวงกลม ไปข้างหลัง ทำซ้ำ 5 ครั้ง
ท่าที่ 7 ยืนตรงกางแขนทั้งสองข้างออก ก้มตัวไปข้างขวา แตะเข่าด้านข้าง ทำซ้ำข้างละ 5 ครั้ง
ท่าที่ 8 นอนหงาย ชันเข่าแขนตึง มือทั้งสองข้างวางบนต้นขา ออกแรงเกร็งท้องจนมือแตะเข่า ค้างไว้สักครู่ ทำซ้ำ 5 ครั้ง

การพักผ่อนคนท้อง

1.ระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่จะรู้สึกเหนื่อย และอ่อนเพลียง่าย กลางคืนควรนอนหลับให้เต็มอิ่ม ประมาณ 8-10 ชั่วโมง และควรหาเวลานอนพักในตอนบ่ายอีกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
2.ลดจำนวนการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม ให้เหลือน้อยที่สุด ถ้าหากคุณต้องการจะดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ให้จำกัดเฉพาะในเวลาเช้า หรือตอนบ่ายต้นๆ
3.ควรงดดื่มน้ำ หรืออาหารเหลว หรือรับประทานอาหารอิ่มจนเกินไปก่อนที่จะเข้านอนสองสามชั่วโมง แต่ขอให้แน่ใจว่าคุณได้รับสารอาหาร และน้ำอย่างเพียงพอตลอดวัน การรับประทานอาหารมื้อเช้า และเที่ยงหนักๆ และรับประทานอาหารเย็นเบาๆ สามารถช่วยได้ และหากมีอาการคลื่นไส้นอนไม่หลับ การรับประทานขนมปังกรอบสองสามแผ่นก่อนเข้านอนอาจช่วยได้
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหมก่อนเข้านอน แต่ให้ทำอะไรที่เบาๆ และผ่อนคลายแทน และหากเป็นตะคริวที่ขาปลุกให้ตื่นนอนในตอนกลางคืน การกดเท้าแรงๆ ลงกับผนังห้องหรือลุกขึ้นยืนอาจช่วยได้
4.ถ้ายังนอนไม่หลับ ให้ลุกขึ้นมาหาอะไรทำ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูโทรทัศน์ หรือหากิจกรรมอื่นๆ ที่เพลิดเพลินทำแทน แล้วในที่สุดก็จะเหนื่อย และนอนหลับได้เอง
5.นอนงีบ 30-60 นาที ระหว่างวัน เพื่อชดเชยเวลานอนที่สูญเสียไป

การรับประทานอาหารคนท้อง

1.คุณแม่จะรับประทานอาหารได้ดีขึ้น เมื่ออาการแพ้ท้องหายไป
2.ควรเลือกอาหารที่มีประโยชน์ ประเภทเนื้อสัตว์ ไข่ นม ผัก ผลไม้
3.ไม่ควรรับประทานอาหารพวก ข้าว แป้ง น้ำตาล ขนมหวาน ไขมันมากเกินไป
4.ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารดิบๆ สุกๆ ของหมักดอง ผงชูรส ชา กาแฟ เหล้า และบุหรี่

คาถาอื่นๆ

       คาถาบูชาดวงประจำวันเกิด
อาทิตย์ อะ วิช สุ นุส สา นุต ติ
จันทร์    อิ ระ ชา คะ ตะ ระสา
อังคาร   ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
พุทธ      ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท
พุทธกลางคืน   คะ พุท ปัน ทู ธัม วะ คะ
พฤหัสบดี          ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ
ศุกร์       วา โธ โน อะ มะ มะ วา
เสาร์      โส มา นะ กะ ริ ถา โธ



      

       คาถาพญาไก่เถื่อน
(นะโม3จบ) เวทาสากุ กุสาทาเว ทายะตะสา ตะสายะทา สาสาทิกุ กุทิสาสา กุตะกุภู ภูกุตะกุ



       บทแผ่เมตตา
สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อะเวราโหตุ
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อะนีฆาโหตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งหมดทั้งสิ้นเถิด


       คาถากรวดน้ำ
อิทังเม ยาตินังโหตุ สุขิตาโหตุ ยาตะโย

       บทกราบพระรัตนตรัย
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ(กราบ) สะวาขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ(กราบ)   สุปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆังนะมามิ(กราบ)


       คาถาภาวนาเวลาแหวนพระขึ้นคอ
(นะโม3จบ)พุทธังอาราธนัง ธัมมังอาราธนัง สังฆังอาราธนัง พุทธังประสิทธิเม ธัมมังประสิทธิเม สังฆังประสิทธิเม
     (เมื่อจะนำพระแขวนคอควรท่องภาวนาบทนี้ก่อนเพื่อความขลัง)


       คาถาป้องกันหมา
อิมาอาจิ อิมาอาจิ อิมาอาจิฯ
     (ท่องเมื่อเจอหมาจะทำให้หมาไม่กัด)

       บทบูชาพระรัตนตรัย
อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ อิมินาสักกาเรนะ ธังมัง อะภิปูชะยามิ อิมินา สักกาเรนะ สังฆังอะภิปูชะยามิ


      

คาถาวัดกลางบางแก้ว

       หลวงพ่อเพิ่ม
นะมะพะทะ จะพะกะสะ (3จบ) อะสีสะติ ธนูเจวะ สัพเพเต อาวุธานิจะ ภัคคะ ภัคคาวิจุนนานิ โลมังมาเม นะผุสสันติ


       หลวงปู่เจือ 
(นะโม3จบ) อิติปิโสภะคะวา ยาตรายามดี ได้ยามพระศรี สวัสดีลาโภ นะโมพุทธายะ อะสังวิสุโล ปุสะพุภะ พุทธะสังมิ อิสวาสุ


       หลวงปู่บุญ
(นะโม3จบ) อะสีสะติ พะหูเตวะ อาวุธานิ ภัคคะภัคคา มิจุลลานิ โลมังมาเม นะพุทสันติ



     

คาถาป้องกันภัย

       คาถากำบังกาย
พุทธังกำบังกายา ธัมมังกำบังกายา สังฆังกำบังกายา นะมะพะทะจงอย่าเห็นตัวกู (ทะพะมะนะ จงเป็นปกติ)

คาถามหาพิทักษ์
จิตติ วิตัง นะกรึง คะรัง
     (ภาวนาเมื่อล็อคกุญแจ หรือปิดหีบใดๆ)


   (นะโม3จบ) พุทโธ พุทธัง นะกันตัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ
     (ภาวนาแล้วเป็นมงคลอย่างยิ่งป้องกันอันตราย)

   คาถาพญายม
ปะโต เมตัง ปะระชิวินัง สุขะโตจุติ จิตะเมตะ นิพพานัง สุขะโต จุตติ
     (ป้องกันภูตผีปีศาจ อันตรายทั้งปวง)




คาถาห้ามอาวุธ
สัตถาทะนุง อากันฆิตุง ทัตวา วิสัชเชตุง นาทาสิฯ
     (ภาวนาเมื่อเกิดเหตุการณ์คับขันจะป้องกันอันตรายได้)
       คาถามหาอุต
อุต ธัง อัต โธ นะโมพูทธายะ
       

      คาถาหมัดหนัก
โอมตะลืดตืด เล็บมือกูเหมือนดั่งทอง สองมือกูเหมือนดังหินก้อนล้าน กูตีช้างช้างก็ตาย กูตีควายควายก็ล้ม กูตีคนคนก็มรณา เวยหิเวยหา นะหนักหนัก ยัดทะลุโม
   

       คาถาตะกรุดแดงหลวงพ่อจำลอง
(นะโม 3 จบ) พุทธังอาราธนัง ธัมมังอาราธนัง สังฆังอาราธัง อิติปิโสภะคะวา สัตถาเทวะ มนุษสานัง พุทธะสังมิ นะชาลิติ

คาถาบูชา

       คำอาราธนาพระสีวลี
สีวะลี จะ มหาเถโร เทวะตา นะระปูชิโต โส ระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา สีวะลี จะ มหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โส ระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา สีวะลี เถระคุณัง เอตัง สวัสดิลาภัง ภะวันตุเมฯ

            
คาถาบูชาพระสังกัจจายน์

อิมินา สักกาเรนะ สาวะกะสังโฆ กัจจายะนะเถโร มหาเตชะวันโต พุทธะโภคาวะโห ปาระมิตาโร อิทธิ ฤทธิ ติตะ มะระตัง สะระณัง คัจฉามิ

            คาถาหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ
(นะโม3จบ) นะโม เม สัพพะเทวะนัง สัพพะคะระหะ เทวานัง สุริยัญจะ ปะมุญูจะถะ สะสิ ภุมโม จะ เทวานัง วุโธ ลาภัง ภะวิสสะติ ชีโว สุกะโร จะมหาลาภัง โสโร ราหูเกตุ จะ มะหาลาภัง สัพพะภะยัง   วินาสสันติ สัพพะทุกข์ขัง วินาสสันติ สัพพะโรคัง วินาสสันติ ลักขณา อะหัง วันทามิ สัพพะทา สัพเพเทวา มัง ปาละยัตุ สัพพะทา เอเตนะ มังคะละเตเชนะ สัพพะโสตถี ภะวันตุ เมฯ 

      
         
        คาถาพระปิดตา
อุมังคะลา มหาสัมพุทธานัง ชะละ มาลาติ มาระภะเว


       คาถาหลวงพ่อบ้านแหลม
(นะโม3จบ) นะมะระอะ นะเทวะอะ (ภาวนา 9จบ ป่้องกันรักษาสารพัดโรค)

คาถาหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ
ท่านสอนให้ภาวนาว่า "สัมมาอะระหัง" แคล้วคลาดปลอดภัยมีความสุข ควรภาวนาทุกอิริยบท


       คาถาหลวงพ่อโอภาษี
อิติ สุคะโต อะระหัง พุทโธ นะโม พุทธายะ ปะฐะวี คงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง
       คาถาหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า
สัตถาเทวะ มะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ มะอะอุ


คาถาหลวงปู่่หลิว
(นะโม 3 จบ) นะมะพะทะ นาสังสิโม สังสิโมนา สิโมนาสัง โมนาสังสิ นะอุทะกะ เมมะอะอุอะ


       คาถาหลวงพ่อโสธร
(นะโม3จบ) นะทรงฟ้า โมทรงดิน พุทธทรงสินธุ์ ธาทรงสมุทร ยะทรงอากาศ พุทธังแคล้วคลาด ธัมมังแคล้วคลาด สังฆังแคล้วคลาด ศัตรูพาลวินาสสันติ นะกาโร กุกกุสันติ สิโรมัชเฌ โมกาโร โกนาคะมะโน นานาจิตเต พุทธกาโร กัสสะโป พุทโธ จะทะเวเนเต ธากาโร ศรีศากกะยะมุนี โคตะโม ยะกันเน ยะกาโร อริยะเมตตรัยโย ชิวหาทีเต ปัญจะพุทธา นะมามิหัง พุทธบูชา มะหาเตชะวันโต ธัมมะบูชา มะหาปัญโญ สังฆะบูชา มะหาโภคะวะโห อะระหังพุทโธ อิติปิโสภะคะวา นะมามิหัง


     คาถาบูชาหลวงพ่อพระใส
(นะโม3จบ) อะระหังพุทโธ โพธิชะโย เสยยะคุโน โพธิสัตโต มหาลาโภ ปิยะ มะมะ ภะวันตุโน โหตุ สัพพะทาฯ


       คาถาบูชาหลวงพ่อเงิน
(นะโม3จบ) อะกะอะธิ อะธิอะกะ ธิอะกะอะ วันทามิ อาจาริยัญจะ หิรัญญะ นามะกัง ถิรัง สิทธิทันตัง มหาเตชัง อิทธิมันตัง วะสาทะรัง สิทธิพุทธัง กิจจังมะมะ ผู้คนไหลมานะชาลีติ สิทธิธัมมัง จิตตังมะมะ ข้าวของไหลมานะชาลีติ สิทธิสังฆัง จิตตังมะมะ เงินทองไหลมา นะชาลีติฉ ฉิมพลี มหาลาภัง ภังวันตุเม  





       คาถาพระครูบาชุ่ม พุทธโก วัดไชยมงคล
วิวะ อะวะ สุสะตะ วิวะสวาหะ


      
       คาถาหลวงพ่อแช่ม
(นะโม3จบ) พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะเมตตาจิต พุทธะบูชา มหาเตชะวันโต ธัมมะบูชา มหาปัญโญ สังฆะบูชา มหาโรคะวะโห ติโลกะนาถัง อภิปูชะยามิ


      
        คาถาหลวงพ่อปาน
เอวังราชะสีโห มะหานาทัง สีหะนาทะกัง สีหะนะเม สีละเตเชนะ นะมาราชะสีโห อิทธิฤทธิ พระพุทธังรักษา สาระพัดศัตรู อะปะราชะยัง อิทธิฤทธิ พระะธัมมังรักษา สาระพัดศรัตรู อะปะราชะยัง อิทธิฤทธิ พระสังฆังรักษา สารพัดศรัตรู อะปะราชะยัง

       คาถาบูชาพระไพรีพินาศ
(นะโม3จบ) อะระหังสัมมา สัมพุทโธ สุจิรัง ปะรินิพพุโต คุเนหิ ธัมมาโนทานิ ปาระมิหิ จะทิสสะติ ยาวะชิวะ อังหัง พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณังคะโต บูเชมิ ระตะนัตตะยัง ธัมมัง จะรามิ โสตถินา  
       คาถาบูชาพญานาค
นะติตัง พญามะ นาคายะ อภินัง นาคา สาธุโนภันเต ยะมะ ยะมะ
    

       คาถาหนุมาน
หะนุมานะ นุมานะหะ มานะหะนุ นะหะนุมา วิโสทะเย อิสะปะมิ อีกบทหนึ่ง
(นะโม3จบ) นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ หะนุมานะ


       คาถาบูชาร.5
พระสยามมินโธ วะโรอิติ พุทธะสังมิ อิติ อะระหัง สะหัสสะกายัง วะรังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปิยะมะ นะโมพุทธายะ


       คาถาบูชาพระพิฆเนศ
โอม คเณศายะ นมัช โอม นมัช ศิวายะ โอม ศรีมหาอุมา ปาราวตี มาตา นมัช


       คาถาบูชาพระสมเด็จ
ปุตตะกาโม ละเภปุตตัง ธะนะกาโม ละเภธะนัง อัตทิกาเย กายะญายะ เทวานัง ปิยะตัง สุตวา อิติปิโส ภควา ยมราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ มะระณัง สุขัง อะระหัง สุคโต นะโมพุทธายะ

       บูชาพระคุณพ่อแม่
มัยหัง มาตาปิตูนังวะ ปาเทสุ วันทามิ (กราบ)
     (ระลึกถึงพระคุณพ่อแม่)
       คาถาบูชาเศรษฐีนวโกฎิ
(นะโม3จบ)มาขะโย มะวะโย มัยหัง มาโกจิ อุปัททะโว ธัญยะ ธารานิ ปะวัสสันตุ ธนัญชัย ยัสสะ ยะถาคะเร สุวัณานิ หิรัญยาจะ สัพพะโภคา จะ รัตตนา ประวัสสันตุ เม เอวัง คะเร สุมะนะ ชะฏิสัสสะ จะ อะนาถบิณทิกะ เมทะ กัสสะ โชติกะ สุมังคะ สัสสะจะ มัณฑาตุ เวสสันตะ รัสสะ ปะวัสสันติ ยะถาคะเร เอเตนะ สัจจะ วัชเชนะ สัพพะ สิทธิ ภะวัน ตุเม
     (ถ้าใครบูชาทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง ในหน้าที่การงาน)
คาถาท้าวเวสสุวรรณ
(นะโม3จบ)เวสสะพุกะ โอมนะโม มหาเวสสุวรรณโณ มหาไตรโลโก ทิพจักขุง มหาไตรโลกะนัง มหาภุเตร สะวะกัง ทิพพะมันตัง อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ เวส สะพุ กะ นะมะอะระหัง อะสังสิสุโลปุสะพุพะ มะอะอุ อิสวาสุ สุสวาอิ อิติอิติ มหาเตวัง มหายักขัง ปัตตโลกัง มหาอิทธิฤทธิ อิทธิฤทธัง อะระหัง ปะสิทธิเม ฯ
     (บูชาแล้วเป็นศิริมงคลยิ่ง ป้องกันภูตผีปีศาจ)

        คาถาบูชาพ่อแก่
(นะโม3จบ) โอมสิทธิ ศรี ศรี นะมะพะทะ ละลาลึลือ ลึลือละลา หุลหุลู หุลุหลู สวาหะ สะมุนิวะระจะนัง ประสิทธิเม ขอคุณครูอยู่เหนือหัวคุ้มตัวข้าพเจ้าด้วยเทอญ
     (ท่องเมื่อจะทำการแสดงใดๆ เพือเกิดความเป็นศิริมงคลเป็นเมตตายิ่ง)

      
       คาถาบรมครูปู่ชิวก (หมอทางพระพุทธศาสนา)
(นะโม3จบ) โอมนะโมชิวโก สิระสา อะหังกะรุณิโก สัพพะสัทธานัง โอสะถะ ทิพพะมันตัง ประภาโส สุริยาจันทัง โกมารภัจโต ประภาเสสิ วันทามิ ปัณฑิโต สุเมทะโส อะโรคา สุมะนาโหมมิ
      (ภาวนาแล้วดีนัก ช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ)

      
       คาถาบูชาพญาครุฑ
(นะโม3จบ) คะรุปิจะ กิติมันตัง มะอะอุ โอมพญาครุฑ รุจรุจแล้วรวย นะได้เงิน นะได้ทอง นะได้ทรัพย์ นะเมตตา นะล้างอาถรรพ์ นะเจริญ นะมั่นคง อธิฐามิ
     (ภาวนาแล้วเกิดมงคลออย่างยิ่ง)

       คาถาพญาสิงห์
นะเมตตา โมกรุณา พุทปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู มะคือตัวกู อุคือคนทั้งหลาย อะระหังเมตตาจิต จิตเมตตาพระอะระหัง ตะมะถัง ปะกาเสนโต ตัวกูคือ พญาราชสีโห สัตถาอะหะ
     (ภาวนาเพื่อเป็นมหาอำนาจ ผู้คนเกรงขาม)